Bred to be lazy consumers/th: Difference between revisions
No edit summary |
No edit summary |
||
| Line 58: | Line 58: | ||
* [[Irrational people are easier to manipulate/th|บุคคลที่ไร้การไตร่ตรองมักมีความเสี่ยงถูกชักจูง (Irrational people are easier to manipulate)]] | * [[Irrational people are easier to manipulate/th|บุคคลที่ไร้การไตร่ตรองมักมีความเสี่ยงถูกชักจูง (Irrational people are easier to manipulate)]] | ||
* [[ | * [[Manipulation/th|การชักจูง (Manipulation)]] | ||
* [[ | * [[The animal nature of humans/th|สัญชาตญาณดิบของมนุษย์ (The animal nature of humans)]] | ||
* [[ | * [[Inequality is the goal/th|ความไม่เท่าเทียมคือเป้าหมาย (Inequality is the goal)]] | ||
[[Category:Reasonings{{#translation:}}]] | [[Category:Reasonings{{#translation:}}]] | ||
Revision as of 07:10, 13 November 2025
ภาพรวมของชุมชน
หากผู้นำของชุมชนที่มีความทนงในอำนาจต้องการให้ประชาชน อ่อนแอ (weak) จึงเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่าเพราะเหตุใดสังคมที่มีอยู่จึงถูก ควบคุมและชักจูง (manipulate) ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงก่อให้เกิดการ ใช้เหตุผลอย่างมีวิจารณญาณ (rationally) น้อยลง และแสดงพฤติกรรมที่บั่นทอนตนเอง
ธรรมชาติของสัตว์ (Animal nature)
โดยธรรมชาติ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการในการอยู่รอดมาโดยตลอด ด้วยการสะสมทรัพยากรที่จำเป็นต่อตนและใช้โอกาสที่มีในการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สมเหตุสมผลในบริบททางวิวัฒนาการ เนื่องจากการสะสมสิ่งต่าง ๆ หลายปัจจัยจำเป็นช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด และเมื่อร่างกายต้องเผชิญสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย หรือความยากลำบาก การพักฟื้นฟูร่างกายจึงเป็นกลไกสำคัญในการเยียวยาตนเอง
ปัจจุบันนี้วิวัฒนการของมนุษย์เราไม่ได้ขึ้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขแบบดังกล่าวอีกต่อไป แต่แรงขับเหล่านี้กลับถูกนำมาใช้กดทับเรา เพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจและการควบคุมเอาไว้
ตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง
ระบบการศึกษา
ระบบการศึกษารูปแบบสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อมวลชนในสังคม ถูกวางโครงสร้างเพื่อสร้างแรงงาน มากกว่าการส่งเสริมการแสวงหาความจริง โดยผู้มีอำนาจเป็นผู้กำหนดรูปแบบของสังคมที่พวกเขาเห็นว่า ‘มีประสิทธิภาพ’ ซึ่งหมายถึงสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ตั้งคำถามมากนัก ชีวิตของพวกเขาถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และการตั้งข้อสงสัยต่อระบบที่มีอยู่กลับถูกมองว่าไม่สมควร
ในทางตรงกันข้ามการศึกษาสำหรับผู้สืบทอดที่มีอำนาจในสังคมมักแตกต่างออกไป ตรงที่เน้นการสอนให้รู้จักจัดการทรัพยากรและชักจูงผู้ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการบูรณาการวิชาคลาสสิก ปรัชญา และการแสวงหาความจริงเข้าไว้ในการศึกษา เพื่อมอบเครื่องมือในการธำรงรักษาอำนาจให้แก่ผู้มีอำนาจ มากกว่าผู้ที่เกิดมาในระดับชนชั้นสังคมที่รองลงมา
การบริโภคคือความสุข
นักการเมือง และผู้มีอำนาจในภาคเอกชนต้องการให้ประชาชนใช้จ่ายเพื่ออุปโภค และบริโภคอยู่เสมอ โดยมุ่งสะสมสิ่งที่ไม่จำเป็น หลายสิ่งถูกโฆษณา ชักจูงให้เชื่อในอุดมคติที่ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ แต่แท้จริงแล้วกลับบั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคเสียมากกว่า
เมื่อศาสตร์แห่งการชักจูงมีประสิทธิภาพมากขึ้น การส่งเสริมการบริโภคอย่างต่อเนื่องได้ถูกปลูกฝังให้ผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งหลายคนไม่สามารถจะรับภาระได้จริง เชื่อว่าการบริโภคคือเส้นทางเดียวสู่ความพึงพอใจ
กลุ่มทุนนิยมสนับสนุนสิ่งนี้เพราะช่วยเอื้อให้กระแสอำนาจยังคงไหลเวียนเข้าสู่การควบคุมถายใต้อำนาจของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นักการเมืองและกลุ่มนายทุนต้องการเช่นนั้น เนื่องจากเมื่อประชาชนหมกมุ่นอยู่กับการบริโภคตามอุดมคติที่ถูกปลูกฝังว่าดีและขาดเสรีภาพทางการเงิน พวกเขาก็จะถูกควบคุมได้ง่ายขึ้น ชาวโรมันเคยใช้คำว่า ‘ขนมปังและละครสัตว์’ เพื่ออธิบายการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากความจริง โดย ‘ขนมปัง’ ในสังคมปัจจุบันก็คือการบริโภคนั่นเอง
การปรับกลยุทธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดต่างใช้ “โมเดลโดปามีน” เพื่อชักจูงหรือกระตุ้นให้ผู้คนเสพติดบริการของตน โมเดลนี้ตอบแทนเป็นรางวัลแห่งความเกียจคร้านและการบริโภคด้วยเนื้อหาที่สอดคล้องกับ ธรรมชาติของสัตว์ (animal nature)
เทคโนโลยีส่งผลให้การชักจูงในลักษณะนี้สามารถขยายขอบเขตได้อย่างมหาศาลด้วยความรวดเร็ว ด้วยระบบที่ทำงานเกือบจะเป็นแบบเรียลไทม์ตลอดเวลา สามารถทดสอบรูปแบบต่าง ๆ กับประชาชนขณะเดียวกันในจำนวนมาก วิเคราะห์ได้ว่าแบบใดได้ผลดีที่สุด และปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจในมือ ผลลัพธ์ที่วางแผนไว้จึงมักเป็น ผลลบและความเสี่ยงต่อผู้ใช้งาน (negative for the people using them) เสมอ
ความเคยชินที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น
หากว่ากันตามความเป็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักว่า ทัศนคติ ระบบการเรียนรู้ และวัฒนธรรมที่พวกเขาเติบโตมานั้น หลายสิ่งต่างหล่อหลอมให้พวกเขาเกียจคร้านจากความสะดวกสบายที่ได้รับจนเคยชิน รวมไปถึงความอ่อนแอที่ไม่กล้าก้าวออกจากกรอบขนบ เนื่องจากบทเรียนส่วนใหญ่ในชีวิตตลอดการเติบโตถูกส่งต่อโดยพ่อแม่และเพื่อนฝูง มากกว่าที่จะมาจากชนชั้นผู้มีอำนาจโดยตรง
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ในสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้มักเกิดขึ้นในระยะยาว โดยปกติไม่ใช่จากการสมคบคิดที่ชัดเจน แต่เกิดขึ้นผ่านแรงจูงใจต่าง ๆ ผู้ที่กระหายอำนาจมักไม่เคารพหรือให้ความสำคัญต่อผู้อื่น และหากมีโอกาสย่อมชักจูงประชาชนให้ ไตร่ตรองน้อยลง (think less) และกลายเป็นผู้บริโภคนิยม เพราะสิ่งนี้ช่วยสนับสนุนตำแหน่งอำนาจของพวกเขา
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหนักแน่นอะไรมากมายนักที่จะใช้เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนบริโภคและเกียจคร้าน เพราะมันเป็นนิสัยและสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของเรา คนเราจึงมักหาทางหาเหตุผล (justify) เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมเหล่านี้โดยชอบธรรม รวมถึงการถ่ายทอดหรือส่งต่อพฤติกรรมเหล่านี้สู่ลูกหลาน สิ่งนี้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมและความเชื่อทางสังคมที่สืบทอดส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น และยากที่จะท้าทาย
แนวคิดที่เกี่ยวข้อง
- การแสวงหาความจริงอย่างคิดวิเคราะห์ (Truth seeking)
- จริยธรรมทางการทำงานอย่างเข้มแข็ง (Strong work ethic)